Translate

นกปรอดหัวโขน... เสียงเพรียกแห่งเสรีภาพ

พอเอ่ยชื่อ "นกปรอดหัวโขน" หลายคนอาจทำหน้างงเพราะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าพูดถึง "นกกรงหัวจุก" ล่ะก็ ใครๆ ก็ร้องอ๋อ! เพราะไม่ว่าใครก็ต้องเคยเห็นนกชนิดนี้ถูกขังในกรงเล็กๆ แขวนไว้ตามชายคาบ้านเรือน หรือแม้แต่ตึกแถวกลางป่าคอนกรีต จนกลายเป็นภาพชินตาและชินชาในใจ !!!

ฉันเองไม่ใช่นักดูนกและไม่ใช่นักอนุรักษ์
แต่ทำไมจึงสนใจนกปรอดหัวโขน ?

ก็เพราะในละแวกบ้านย่านชานกรุงยังมีนกชนิดนี้ให้เห็นในธรรมชาติ พวกเขาดูมีชีวิตชีวาน่ารักกว่านกในกรงเป็นร้อยๆ เท่า แล้วมนุษย์มีสิทธิ์อันชอบธรรมอันใดที่ไปจับเขามาขังไว้ในกรง... แม้จะเป็นกรงทองราคาเรือนแสนอย่างที่ "คนรักนก" บางคนกล่าวอ้าง แต่ในความเป็นจริง ลัทธิวัตถุนิยมอันงมงายไร้สติของมนุษย์หาได้ส่งผลใดต่อจิตใจอันบริสุทธิ์ของเพื่อนร่วมโลกเผ่าพันธุ์อื่นไม่... กรงทองมีไว้กักขังกิเลสตัณหาของมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อปลดเปลื้องเสรีภาพจากสัตว์โลกที่ไร้หนทางต่อสู้

แมกไม้น้อยใหญ่อันร่มรื่นรอบๆ บ้านเชิญชวนนกนานาพันธุ์ให้แวะมาอาศัยพักพิงอยู่เสมอ รวมทั้งนกปรอดหัวโขนคู่หนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันในวันนี้...
พอฉันเริ่มลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับนกปรอดหัวโขนอย่างจริงๆ จังๆ ก็ต้องพบความจริงอันน่าเศร้าใจ บนแผงหนังสือไม่มีเรื่องราวของ "นกปรอดหัวโขน" เลย มีแต่ "นกกรงหัวจุก" เท่านั้น ไม่มีเรื่องธรรมชาติและการอนุรักษ์นกปรอดหัวโขนเลย มีแต่คัมภีร์นกแข่ง แนวทางปลดล็อกเพื่อการค้า ฯลฯ เท่านั้น แล้วอย่างนี้จะหวังให้คนรู้จัก ใส่ใจ และห่วงใยพวกเขาได้อย่างไร...

ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับ "นกปรอดหัวโขน เสียงเพรียกแห่งเสรีภาพ" จู่ๆ บทกวีของศิลปินคนโปรด จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง ที่อยู่ในความทรงจำก็แวบขึ้นมา...

มีรังไว้ให้รักอุ่น

รักต้องการอ้อมแขน  ไม่ใช่กรงขัง
นกต้องการรัง ไม่ใช่กั้นกรง
ด้วยกรงมีไว้ขัง  รังมีไว้อุ่น
อย่าให้ความห่วงใยแปรเป็นโซ่ดอกไม้
ล่ามไว้เพียงเพื่อจะให้หอม
มีอ้อมแขนไว้ปกป้อง แต่ต้องไม่ปกปิด
เราใกล้ชิดเพื่อที่จะได้อบอุ่น
มีนกตัวไหนสุขใจเมื่อได้อาศัยในกรงสวย
ฉันจึงรักเธอด้วย  แต่ต้องบินไป

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ "รักนก" คงยังไม่สายเกินไป
ที่จะพิสูจน์ความรักของคุณให้พวกเขาได้รับรู้...

อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์นกปรอดหัวโขน คลิก!!!

Hedgehog everywhere !!!

Hedgehog เดินทางเข้าสู่เมืองไทยในฐานะสัตว์เลี้ยงราคาไฮโซที่นิยมเรียกกันว่า "เม่นแคระ" ความนิยมเลี้ยงเจ้าลูกเงาะไม่ถึงกับพุ่งเปรี้ยงปร้างเหมือนแฮมสเตอร์หรือบรรดาสัตว์ขนฟูทั้งหลาย เพราะอุปสรรคสำคัญคือ ขนแข็งๆ ที่หลายคนขยาด...
หากใครเคยได้อุปการะน้องเม่นไฮโซแบบเป็นคู่ คงจะรู้ดีว่าเจ้าลูกบอลหนามออกลูกดกขนาดไหน! ฉันเองก็เลี้ยงเม่นแคระไว้หลายตัว ผลัดกันออกลูกเป็นว่าเล่น... *_*  มาดูความน่ารักของเค้ากันดีกว่า


เคยเขียนหนังสือ "แฮมสเตอร์" ไว้ตั้งแต่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี้ชักนึกสนุกอยากเขียนเรื่อง "เม่นแคระ" ซะแล้วสิเรา... ^_^

ที่มาของหนังสือ "พืชกินแมลง"

หลายคนคงสงสัยว่าจากการเริ่มต้นที่ "เฟิน" แล้วย้ายมาสู่ "พืชกินแมลง" ได้อย่างไร ?

ในยุคเฟื่องฟูของหม้อข้าวหม้อแกงลิงเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2550 ตอนนั้นพืชชนิดนี้ค่อนข้างใหม่ในวงการไม้ประดับไทย แต่กระแสความนิยมแรงและเร็วมาก และฉันเคยได้ยินมาว่ามีคนกำลังเขียนเรื่องพืชกินแมลงอยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีหนังสือออกมาซักที ในที่สุดจึงมีผู้แนะนำให้ฉันเขียนหนังสือเกี่ยวกับพืชชนิดนี้

สำหรับฉันเองนั้น ตอนแรกไม่มีความสนใจพืชกินแมลงเลยซักนิด แต่เมื่อจะเขียนจึงจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งทำให้เริ่มชอบพืชชนิดนี้ขึ้นมาบ้าง ข้อมูลส่วนมากในหนังสือมาจากประสบการณ์ที่ได้ปลูกเลี้ยงเอง และจากการพูดคุยกับนักสะสมท่านอื่นๆ ส่วนภาคทฤษฎีต้องค้นคว้าจากหนังสืออ้างอิงของต่างประเทศซึ่งมีอยู่หลายเล่ม

ถามว่าทำไมไม่ค้นคว้าจากหนังสือไทย?
นั่นก็เพราะหนังสือวิชาการเกี่ยวกับพืชกินแมลงของไทยหาแทบไม่ได้เลย เพราะยังไม่เคยมีใครทำการศึกษาอย่างจริงจัง ส่วนหนังสือในแง่ไม้ประดับนั้นถ้าเสร็จตรงตามเป้าหมายจะนับได้ว่าหนังสือของฉันเป็นเล่มแรกในเมืองไทยเลยทีเดียว

แต่ "พืชกินแมลง" เขียนยากกว่า "ปลูกเฟินอย่างมืออาชีพ" มาก เพราะเป็นหนังสือกึ่งวิชาการ โดยเฉพาะสำหรับนักเขียนที่ไม่เคยเรียนวิชาพฤกษศาสตร์มาก่อนเลยในชีวิต! แต่ในที่สุดฉันก็สามารถปิดต้นฉบับลงได้ด้วยความช่วยเหลือจากนักวิชาการหลายท่าน ทั้งในเรื่องข้อมูลและความถูกต้องตามหลักสากล

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะออกล่าช้ากว่ากำหนดเดิมมาก แต่รางวัลอันแสนหวานสำหรับความพยายามก็คือการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 ภายในเวลาไม่กี่เดือน และอีกไม่นาน "มือใหม่หัดปลูกพืชกินแมลง" ก็จะออกมาเป็นกองหนุนสำหรับผู้อ่านที่นิยมงานเขียนแบบสบายๆ สไตล์ "มือใหม่หัดปลูก" ของสำนักพิมพ์บ้านและสวน

ตัวอย่างในเล่ม "พืชกินแมลง"












กว่าจะเป็นหนังสือเฟินเล่มแรก

งานเขียนในระยะแรกของฉันเป็นหนังสือสำหรับเด็กซะเป็นส่วนมาก มีทั้งงานเขียน แปล และวาดภาพประกอบหลายเล่ม ซึ่งทำไปพร้อมๆ กับงานประจำในสำนักพิมพ์ จนกระทั่งไต่เต้าขึ้นถึงตำแหน่งบรรณาธิการก่อนที่เส้นทางชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป...

ด้วยโชคชะตาพลิกผันในยุค IMF ทำให้ต้องผันตัวเองจากบรรณาธิการไปเป็นแม่ค้าขายต้นไม้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแนวไปเขียนหนังสือเกี่ยวกับไม้ประดับ ซึ่งเริ่มจากหนังสือเฟินเป็นอันดับแรก

"ปลูกเฟินอย่างมืออาชีพ" เขียนขึ้นจากประสบการณ์นับตั้งแต่ผันตัวเองมาสู่โลกของเฟิน เป็นหนังสือไม้ประดับเล่มแรกที่ได้รับเสียงตอบรับจากผู้อ่านดีเกินคาด ส่วนมากทางโทรศัพท์ (เพราะสมัยนั้นยังไม่มีเฟซบุ้คและโซเชียลเน็ตเวิร์ค) แม้บางท่านจะติดต่อมาเพราะอยากเข้าชมเฟินที่เลี้ยงไว้ แต่หลายท่านโทรมาเพียงเพราะต้องการพูดคุย ทักทาย ให้กำลังใจ บางท่านโทรมาขอคำปรึกษาเรื่องการปลูกเลี้ยง ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ที่ส่ง sms มาแสดงความชื่นชม!

คำนิยมส่วนมากจะเป็น >>> อ่านง่าย เข้าใจง่าย อ่านเพลิน สนุกเหมือนอ่านนิยาย!

นี่แหละคือ "กำลังใจ" ของคนเขียนหนังสือ
เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง (และค่าลิขสิทธิ์ ^_^)
ฉันจึงยังต้องเขียน และเขียน และเขียนต่อไป... อีกนาน

Animal Books for Children

ด้วยความรักและสนใจสัตว์ต่างๆ ฉันจึงเขียนหนังสือเกี่ยวกับสัตว์สำหรับเด็กไว้หลายเล่ม เช่น ชุดแรกรู้จักกับสัตว์โลก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผักแว่น





"นี่ตัวอะไร" ช่วยแนะนำให้เด็กๆ รู้ถึงความแตกต่างของสัตว์ที่มีลักษณะ
คล้ายคลึงกันหลายชนิด เช่น ลิง-ชะนี หรือเต่าบก-เต่าน้ำจืด-เต่าทะเล



"อักษรหรรษา นานาชีวิตสัตว์" ให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆโดยใช้เทคนิค
เรียงชื่อตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ


นอกจากจะเขียนแล้ว ฉันยังถ่ายภาพและออกแบบรูปเล่มหนังสือทั้งหมด
ด้วยตัวเองอีกด้วย

เส้นทางสู่นักเขียน

"นักเขียน" เป็นอาชีพในฝันของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน สมัยเด็กๆ ฉันเองก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน (ไม่น่าเชื่อว่าฝันจะเป็นจริง!) ต้องยกความดีให้ครูสอนภาษาไทยสมัยเรียนชั้นมัธยมที่เห็นแววและสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทุกวันนี้ฉันจึงก้าวเดินบนเส้นทางนักเขียนอย่างสง่างามและภาคภูมิใจ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนละก็ มีบางสิ่งที่คุณควรรู้ไว้... ชีวิตนักเขียนไทยไม่ได้ปูพรมแดงเหมือนนักเขียนฝรั่ง-ถ้าคุณไม่โด่งดังมากพอ สำนักพิมพ์หลายแห่งยังนิยมซื้อลิขสิทธิ์แบบซื้อขาด (โอแม่เจ้า...ชีวิตนี้เราจะเขียนเรื่องดีๆ ได้ซักกี่เรื่องกัน... >_<) แต่ยังโชคดีที่บางแห่งทำสัญญาเช่าลิขสิทธิ์ภายในระยะเวลา 5 ปี
ซึ่งหมายความว่าผลงานนั้นยังคงเป็นของคุณ และตกทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานได้

อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อว่า "เงิน" ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของคนที่มุ่งมั่นสู่เส้นทางนักเขียนอย่างจริงจัง (นี่คือเหตุผลที่ทำให้นักเขียนไทยหลายคนไส้แห้ง...555) "ผลงาน" ต่างหากคือสิ่งสำคัญและทำให้เรายืนหยัดอยู่กับอาชีพนี้ได้

ดังนั้นหากคุณใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน
จงเขียน และเขียน และเขียนต่อไปด้วย "หัวใจ"
แล้วสักวันความฝันของคุณอาจเป็นจริง...